ตอนเด็ก ๆ เราอาจจะกดดันเพราะทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราจะรู้ได้ว่าเรายิ่งทำอะไรไม่ได้ดั่งใจมากขึ้นกว่าเดิมและจะยิ่งกดดันมากขึ้น เพราะเราจะกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า บ่าของเราจะต้องแบกความคาดหวังและอนาคตของคนรุ่นถัดไปเอาไว้
ผู้ใหญ่ไม่ต้องไปโรงเรียน ไม่มีการบ้าน ไม่มีคุณครูมาดุด่าว่ากล่าว หรือไม่มีใครเอาไม้เรียวมาตีจริง แต่กระนั้นพวกเขาก็ต้องพบกับระบบควบคุมที่สูงขึ้นไปอีกขั้น เป็นการควบคุมที่ไม่มีใครต้องมาพร่ำสอน หากแต่เกิดขึ้นเองในแต่ละบุคคล เสมือนเป็นเสียงเงียบเชียบ หากแต่ได้ยินชัดเจน เสมือนเป็นกรอบรั้วที่มองไม่เห็นด้วยตา หากแต่แน่นหนา และยากนักที่จะหลีกหนีมันได้
ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ...
"กระแสสังคม"
อิทธิพลของมันมีมากเสียจนสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตคนได้ หลายครั้งที่เราต้องทำสิ่งต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ตัวเรา แต่เพียงเพราะสังคมคาดหวังให้มันแบบนี้ แม้แต่ความรัก-อารมณ์อันบริสุทธิ์ที่ทำให้เรารู้สึกชื่นบานทุกครั้งที่ได้ประสบ ก็ยังมีอันต้องสั่นคลอนเพราะมัน
จริงอยู่ที่หลากหลายคู่ต้องแยกทางเพราะไม่รู้จักความรักจริง แต่ทำไมล่ะ แม้แต่คู่รักที่มั่นคงและศรัทธาในความรักเฉกเช่นเก็นโนะสุเกะและโอโบโระในเรื่อง "Basilisk"กระแสสังคมก็มิอาจละเว้นได้เลย

"Basilisk เนตรสยบมาร" เป็นหนังสือการ์ตูนที่หยิบยกเอาเรื่องจริงในประวัติศาสตร์มานำเสนอให้น่าสนใจมากขึ้น หนังสือกล่าวถึง"โคงะ" (Koga) และ "อิงะ" (Iga) สองหมู่บ้านนินจาคู่รักคู่แค้นที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน "ฮัตโตริ ฮันโซ" รุ่นแรกตัดสินใจร่างสนธิสัญญาสงบศึกและนำพลังอันสูงส่งของทั้งสองหมู่บ้านมาใช้ช่วยตระกูลโทคุกาว่ารวบรวมแผ่นดินญี่ปุ่นจนเป็นปึกแผ่น นับแต่นั้น "สงครามมหานินจา" ก็ได้มีอันปิดฉากเป็นการชั่วคราว
กาลเวลาล่วงเลยมาอีกหลายปี บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็นภายใต้การปกครองของ "โทคุกาว่า อิเอยาสึ" (Tokugawa Ieyasu) แต่ดูเหมือนกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงจะมิได้ย่างกรายเข้าไปสู่หมู่บ้านทั้งสองเลยแม้แต่น้อย ทั้งโคงะและอิงะยังคงปิดกั้นตนเองอยู่ในหุบเขาลึก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก เฝ้าฝึกฝนวิชานินจาของตน ความแค้นระหว่างหมู่บ้านยังไม่สลายไปหากแต่ซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกรอวันที่จะปะทุออกมา
แต่กระนั้นก็ตาม "โคงะ เก็นโนะสึเกะ" แห่งหมู่บ้านโคงะ และ "โอโบโระ" แห่งหมู่บ้านอิงะ-สองหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ว่าที่ผู้นำหมู่บ้านนินจาทั้งสองในอนาคต-กลับเห็นแปลกออกไป ทั้งคู่ต่างเบื่อหน่ายความเกลียดชังอันไร้เหตุผลและมองว่าถึงเวลาแล้วที่หมู่บ้านของตนจะมีความสัมพันธ์อันดี พร้อม ๆ กับก้าวพ้นเงามืดออกสู่โลกภายนอกเสียที โดยพวกเขาคิดจะใช้ความรักอันจริงใจ-ที่สามารถลบเลือนความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์ตลอดจนก้าวข้ามข้อจำกัดใด ๆ-เป็นเครื่องพิสูจน์
น่าเสียดายที่โชคชะตากลับเล่นตลกกับคนทั้งสอง การเก็บตัวอยู่ในป่าลึกกลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะยิ่งปิดบังตัวเองเท่าไหร่ หมอกแห่งความสงสัยกลับก่อตัวขึ้นในหมู่คนภายนอก มีคำเล่าลือถึงความน่ากลัวของวิชานินจาของทั้งสองหมู่บ้านไปต่าง ๆ นานา จนทำให้โชกุนอิเอยาสึเกิดความไม่สบายใจเกรงว่าทั้งสองหมู่บ้านจะกระด้างกระเดื่อง กอปรกับปัญหาผู้สืบทอดตำแหน่งโชกุนรุ่นที่สามระหว่าง "ทาเคจิโยะ"-บุตรชายคนโต และ "คุนิจิโยะ"-บุตรชายคนรองอันแก้ไม่ตก, เท็งไง-ที่ปรึกษาของโชกุนจึงออกอุบายให้ใช้การประลองวิชานินจาระหว่างโคงะและอิงะเป็นตัวตัดสินตำแหน่งผู้สืบทอด ซึ่งนอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาตำแหน่งโชกุนตามประสาชายชาตินักรบโดยไม่เสียเลือดเนื้อตนเองแล้ว ยังเป็นการทำลายเผ่าพันธุ์นินจาที่น่าหวาดหวั่นซึ่งหมดประโยชน์แล้วไปด้วยในตัว
เดือนเมษายน ปีเคย์โจที่ 19 สนธิสัญญาสงบศึกระหว่างโคงะและอิงะเป็นอันยกเลิก สิบสุดยอดฝีมือจากทั้งสองหมู่บ้านต้องเข้าห้ำหั่นกันด้วยวิชายุทธ์นินจาอันเหี้ยมโหด โดยผู้นำของโคงะและอิงะก็คือ เก็นโนะสึเกะ และโอโบโระ ตามลำดับ!!!
คู่รักทั้งสองต่างพยายามทัดทานคนของตนอย่างเต็มที่ หากแต่เชื้อไฟได้ถูกจุดขึ้นแล้วและยากที่จะดับลง ท้ายที่สุดเส้นทางระหว่างคนทั้งสองจะไม่มีวันได้บรรจบ และมีเพียงความสูญเสียเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่ ณ ปลายเส้นทาง

มองเผิน ๆ เรื่องราวของเก็นโนะสึเกะและโอโบโระจะละม้ายคล้ายคลึงกับนวนิยายอมตะอย่าง "โรมิโอกับจูเลียต" แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องราวของคู่รักนินจามีอะไรให้ขบคิดและน่าติดตามมากกว่าเรื่องราวความบาดหมางของสองตระกูลมากนัก
อุปสรรคสำคัญของเก็นโนะสึเกะและโอโบโระหาใช่ความเกลียดชัง เพราะเรื่องราวความรักของทั้งคู่ต่างประจักษ์ชัดและอยู่ภายใต้สายตาของผู้คนทั้งสองเผ่า หากแต่เป็นเพราะงานชิ้นสำคัญที่เหล่ายอดนินจาได้รับมานั้นเปรียบเสมือนการหยิบยื่นโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะได้พิสูจน์ความสำคัญและยืนยันการมีอยู่ของตน
"นินจา"-ผู้อยู่ในเงามืด-ภารกิจของพวกเขาแต่ละชิ้นล้วนสำคัญและมีความหมายยิ่ง ผืนหน้าประวัติศาสตร์จะพลิกไปด้านใดส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้มากฝีมือทั้งหลายเหล่านี้ หากแต่ในยุคลมสงบที่การประหัตประหารเป็นเรื่องไม่จำเป็น คุณค่าของพวกเขาก็ย่อมลดน้อยลง ได้แต่เก็บตัวอยู่ในป่า และสุดท้ายชื่อเสียงของพวกเขาก็ค่อย ๆ เลือนหายไปกับเวลา
เพราะฉะนั้นการประกาศของโชกุนจึงเปรียบเสมือนการมอบโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้ทำหน้าที่อันทรงเกียรติเยี่ยงวีรบุรุษอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพวกเขาทั้งยี่สิบ ไม่ใช่สิ...สิบแปดคนต่างยินดี แม้ว่าในท้ายที่สุดบทสรุปของมันคือการทำลายความรักของชายหญิงหนึ่งคู่ หรือแลกด้วยชีวิตของตน ก็คุ้มค่ากับศักดิ์ศรีที่พวกเขาจะได้กลับคืนมา
ทั้งโคงะและอิงะต่างเป็นตัวอย่างของหมู่บ้าน "หลังเขา" ที่ปิดกั้นตนเอง ไม่รับรู้ความเป็นไปสู่โลกภายนอก สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับกาลเวลาที่ผันเปลี่ยน
ทั้งเก็นโนะสึเกะ และโอโบโระต่างเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาวที่ใฝ่ฝันถึงอนาคตที่สดใส ตลอดจนเปิดกว้างสำหรับทุกคน หากแต่ในความเป็นจริงสังคมมนุษย์ช่างโหดร้ายเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เราทุกคนต่างอยู่บนกระแสธาราของสังคมอันไล่บ่าและยากจะต้านทาน
จะมีบ้างไหมที่เราจะได้ทำตามใจของตน?
จะมีบ้างไหมที่โลกมนุษย์จะมาถึงความเท่าเทียม?
เส้นแบ่งอันบางเบาที่เหมาะสมสำหรับความต้องการในใจ กับกระแสสังคมอยู่ที่ใดกัน?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น